กับดักของชีวิตที่สุขสบาย
ความใฝ่ฝันหนึ่งของหลายๆคนรวมทั้งตัวผมเองด้วยก็คือการที่เรามีเงินใช้โดยที่ไม่ต้องทําอะไร มีอิสระที่จะใช้ชีวิตตามใจตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเจอกับความยากลําบาก เจอแต่สิ่งดีๆที่นถูกใจ อยากตื่นเมื่อไหรก็ตื่น อยากนอนเมื่อไหรก็นอน อยากทําอะไรก็ทํา ไม่อยากทําอะไรก็ไม่ต้องทํา เชื่อว่านี้อาจจะเป็นชีวิตในอดุมติที่หลายคนอยากได้และยอมทํางานหามรุ่งหามคํ่าเพื่อได้มา แต่วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงของผมเองที่ได้ผ่านการใช้ชีวิตแบบนี้มาแล้ว เพราะผลลัพธ์ที่ได้จากชีวิตเช่นนี้อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด ชีวิตที่ดูแล้วน่าจะสุขสบายกลับมีจุดจบที่ อาการซึมเศร้า จิตใจที่อ่อนแอ และชีวิตที่หมดความหมาย มันเกิดอะไรขึ้น ทําไมถึงเป็นอย่างนั้นได้ แล้วสุดท้ายหลทางที่ผมนําตัวเองออกจากกับดับนี้มันคืออะไร อันนี้คือสิ่งที่จะมาแชร์ เพราะผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะติดอยู่ในกับดักนี้เหมือนกันโดยที่เราเองอาจจะรู้หรือไม่รู้ตัว
เราลองจินตนาการดูว่าถ้าเรามีเงินมากพอแล้วและไม่มีหน้าที่อะไร เราจะอยากทําอะไร แน่นอนว่าเราก็คงจะไม่ทําอะไร เราคงนั่งๆนอนๆ ทําแต่สิ่งที่ชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม นอน กิน ไปเที่ยว ไปสนุกเหหา และไม่ทํางานหรืออะไรที่ต้องเหนื่อย ขัดใจ หรือยากลําบาก ซึ่งผมเองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น
สําหรับผม ผมเลือกที่จะใช้อิสระในเล่นเกมส์ เล่นจนลืมวันลืมคืน เล่นจนชีวิตไม่มีอะไรอื่นนอกจากกิน นอน อาบนํ้า แล้วก็เล่นเกมส์ ในช่วงแรกมันก็รู้ดี สนุก เพลิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าบรรยกาศมันเริ่มเปลี่ยน จากความสุขสบายก็เริ่มเป็นความชินชาในความสุขสบาย งานที่เคยชอบเคยทุ่มเทตอนนี้แค่ลําบากนิดเดียวก็ดับความพยายามได้อย่างง่ายดาย ระเบียบวินัยในชีวิตที่เคยมี เคยให้ความสําคัญ ตอนนี้ทิ้งขว้างเพราะกลายเป็นสิ่งที่มาขัดขวางความสุข จากคนที่เคยมีไฟมีเป้าหมายในชีวิตก็เริ่มรู้สึกหมดไฟและเคว้งคว้างอย่างน่าแปลกใจ จากชีวิตที่เคยสนุกเหหาก็กลายเป็นชีวิตที่นับวันเริ่มว่างเปล่าและไร้ความหมายทั้งๆที่ทุดสิ่งที่เราได้ทําไปก็เพื่อ “ความสุข”
แล้วมันผิดพลาดตรงไหน? ทําไมการที่เราใช้ชีวิตตามสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็น “ความสุข” กลับไม่ได้ผลอย่างนั้น? คําตอบก็คือ เวลาที่เราพูดว่า “เราได้ใช้ชีวิตทําอะไรตามใจตัวเอง” จริงๆแล้วเมื่อไม่ระวังก็คือการที่เราได้ใช้ชีวิตตามใจกิเลส สําหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับคําว่ากิเลส กิเลสพูดง่ายๆก็คือสัญชาตญาณที่จะเห็นแก่ตัวที่จะทําตามใจทําตามอารมณ์ ทุกคนมีกิเลสอยู่ในใจ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นกิเลสของการกิน ถ้าเรากินทุกอย่างที่เราอยากกินตามใจปากโดยไม่ยับยั้งชั่งใจถึงประโยชน์หรือผลที่ตามมาแล้ว สุดท้ายผลลัพธ์เราก็อ่วนหรือไม่ก็สุขภาพเสียไปเลย การใช้ชีวิตตามใจตัวเองโดยไม่ระวังกิเลสก็ไม่ต่าง หลายคน รวมทั่งตัวผมเองด้วยก็อาจจะยังแยกแยะไม่ออกเลยด้วยซํ่าว่าอันไหนคือตัวเราอันไหนคือกิเลส นี้คือเหตุผลว่าทําไปการมีอิสระภาพไม่ได้แปลว่าเราจะมีความสุขเสมอ ถ้าเราเอาอิสระภาพนั้นไปให้กับกิเลส
อิสระภาพที่แท้จริงนั้นต้องอยู่เหนือกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความชอบชัง และ อารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะรู้สึกเหนื่อย เบื่อ ไม่มีกําลังใจ แต่เราก็จะสู้ เราก็จะทํามันให้สําเร็จ ไม่ว่าเราจะอยากหรือไม่อยากทํามัน สิ่งที่ชอบเราก็ทําได้ สิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ทําได้ นี้คืออิสระภาพที่แท้จริงเพราะเราไม่ได้ตกอยู่ใต้อํานาจของกิเลสหรืออารมณ์ที่มาสั่งให้เราล้มเลิกหรือยอมแพ้ เราต่างหากที่อยู่เหนือมัน
อิสระที่แท้จริงไม่ได้มาจากการที่เราตามใจตัวเองเพราะการทําเช่นจะมีแต่ทําให้เราเป็นทาสของกิเลสมากขึ้น แต่ตรงกันข้าม อิสระที่แท้นั้นได้มาจากการที่เราชนะใจของตัวเอง เมื่อเราเอาชนะใจเราได้ อิสระภาพของเราก็จะไม่มีกรอบหรือขอบเขต เป็นเป็นอิสระภาพที่แท้จริง
อยากจะสราภาพและถือว่าเป็นการบอกเพื่อเตือนใจคนที่อ่านไว้ด้วยว่า กว่าผมเองจะออกมาจากกับดักแห่งชีวิตที่ติดสุขได้นั้นก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย มันอาจจะยากกว่าการออกจากความทุกข์สะด้วยซ้ำ เพราะความทุกข์นี้มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเราต้องสู้ต้องดิ้นรน แต่เมื่อเรามีความสุขสบายอยู่แล้วคนบ้าอะไรจะอยากออกจากความสุข แต่ความจริงก็คือการที่ผมหลงละเลิงไปกับความสุข มันทําให้ผมกลายเป็นคนไม่เอาไหน ไม่มีเป้าหมายในชีวิต เอาแต่ใจ มีจิตใจอ่อนแอ และ มีไม่อะไรที่รู้สึกได้ว่าภมูิใจในตัวเอง มากไปกว่านี้นผมก็เสียเวลาไปเป็นปีๆกับการเล่นเกมส์ และเสียสุขภาพที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม พูดได้เลยว่ามันอาจจะเป็นจุดที่ตํ่าที่สุดในชีวิตผม
แล้วอะไรที่จุดประกายทําให้ผมสามารถออกมาจากหลุมดําของชีวิตได้? อะไรคือแสงสว่างที่ปลายทาง? คําตอบมีสองด่านก็คือ หนึ่งเห็นโทษของความสุข และสองเห็นประโยชน์ของความยากลําบาก ทุกอย่างในชีวิตมันก็มีข้อดีและข้อเสีย ซึ่งความจริงนี้ก็ไม่เว้นแม้แต่ความสุข สิ่งที่ผมได้ประสบณ์มานั้นก็เป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนว่า ความสุขถ้าอยู่กับมันไม่เป็นพาชีวิตเราให้ตกตํ่าได้ อีกด้านที่สําคัญไม่แพ้กันก็คือการที่เราจําเป็นต้องเห็นประโยชน์ของความยากลําบาก ต้นกล้าที่มีชีวิตอยู่แต่ในกระบะไม่เคยเจอแดด ไม่มีวันแข็งแกร่งเท่าต้นกล้าที่ถูกย้ายไปโตในดินจริงและต้องสู้กับแดดที่แรง ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน จะมีจิตใจที่แข็งแกร่งได้ก็ต้องผ่านความยากลําบากมาก่อน ไม่เคยมีใครประสบความสําเร็จ หรือได้ชีวิตที่ดี มีคุณค่าและเป็นประโยชน์มาอย่างง่ายดาย มันต้องแลกมาด้วย ความเจ็บปวด ความผิดหวัง และความยากลําบาก ดังนั้นอย่าไปกลัวความยากลําบาก บางทีเราควรขอบคุณหรือมากไปกว่านั้นเชิดชูมันด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นสิ่งที่มาทําให้จิตในเราสูงขึ้น เป็นเครื่องฝึกจิตใจของมนุษย์อย่างดี ให้มีความอดทน ความพยายาม และจิตใจที่แข็งแกร่งไม่ย้อยท้อ เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในกับดักที่หอมหวานของความสุข