ความเป็นศัตรู

206603 ศุภกร เลาหสงคราม

นักจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychologist)


ถ้าหลีกเลี่ยงได้ให้หลีกเลี่ยง

วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับคนที่เรารู้สึกว่าเขาเป็นศัตรู.. หรือที่เราไม่ชอบเขา.. หรือที่เรารู้สึกว่าเขา toxic ก็คือการหลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอกัน ซึ่งวิธีนี้จะดีและง่ายที่สุด เพราะมันช่วยให้เราเลิกคิดถึงเขา และเราก็ปล่อยให้เหตุการณ์หรือคําพูดเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นนั้นถูกฝังไปกับอดีต จริงอยู่ความรู้สึกไม่ดีในใจเรามันยังไม่ได้หายไปไหนแต่อย่างน้อยมันก็จะไม่ถูกรื้อฟื้นให้มารบกวนจิตใจเราอีก

ความเป็นศัตรูนั้นเหมือนดั่งไฟที่แผดเผาอยู่ในใจเรา เมื่อมันหมดเชื้อเพลิงที่จะมาหล่อเลี้ยง มันก็จะมอดไปเองในที่สุด แต่ในชีวิตจริงนั้นบางทีเราก็ไม่สามารถที่จะเดินหนีจากคนที่เรารู้สึกเป็นปฏิปักษ์ได้เสมอ โดยเฉพาะถ้าคนๆนั้นคือคนใกล้ตัวหรือคนที่เราต้องเจอเป็นประจํา ดังนั้นหัวข้อที่เหลือที่จะพูดต่อไปคือเรื่องวิธีรับมือกับความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์เมื่อเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

วางแผนการรับมือกับคนที่เราเป็นปฏิปักษ์

เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เท่ากับว่าเราต้องเจอเขา และถ้าเราต้องเจอเขาซึ่งเป็นศัตรูของเรา จะมีการจัดการอย่างไรให้เกิดผลในเชิงบวกมากที่สุด คือ เราไม่อยากมีปัญหา.. เราไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียง.. เราไม่อยากอารมณ์เสียโดยเปล่าประโยชน์ แล้วเราจะต้องรับมืออย่างไรให้ได้ผลเช่นนั้น ในขั้นแรกเราต้องเข้าใจก่อนว่าเราควบคุมเขาไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะคิดจะทําหรือพูดอะไร ซึ่งเป็นสิทธิของเขา แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ก็คือวิธีที่เราจะรับมือและรู้สึกกับมันอย่างไร สมมุติว่า เรารู้อยู่แล้วว่าคนที่เราไม่ชอบมีนิสัยขี้บ่น ชอบมาติเตียนหรือต่อว่าเรา เราก็เตรียมใจไว้เลยว่ายังไงเขาก็จะมาว่าเราอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่เขามาว่าเราจริงๆเราก็ปล่อยผ่านไปเลย ด้วยวิธีนี้ เราก็จะไม่รู้สึกอะไรเพราะเราเตรียมใจมาแล้ว และเพราะว่าเราวางแผนวิธีรับมือมาแล้วเราก็รู้ว่าจะต้องทําอะไร ไม่ต้องไปเสียเวลาต่อล้อต่อเถียง ปัญหาก็ผ่านไป โดยไม่ต้องพูดมาก และเราเองก็รักษาใจและเก็บความสุขของเราไว้ได้

ความเกลียดชังทําให้เราทุกข์ก่อนเสมอ

เวลาเราไม่ชอบใครบางคน เรามักคิดว่าเราไม่ควรที่จะไปสนใจหรือให้ค่าอะไรกับเขา แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งก็คือเราคิดถึงเขาตลอดเวลา ต่อให้เราไม่เจอเขา ในใจเราก็ยังหมกมุ่นคิดถึงเขา บางทีคิดถึงมากกว่าคนที่เรารักเสียอีก ทําไมการที่เราไม่ชอบใครแล้วเราเองกลับเป็นคนที่ไม่มีความสุข นี่คือเรื่องแปลกแต่จริงนะครับ คิดให้ดี ขณะที่เรามีความเป็นปฏิปักษ์ในใจ ความเป็นศัตรูนั้นก็เป็นเหมือนหนามบ่มใจ ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนความทุกข์ก็ตามเราไปตลอด ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใด ภูเขาหรือทะเล ความเกลียดชังนี้ก็ปักติดใจเราไปที่นั่น ไม่ยอมให้เรารู้สึกสงบสุข บางทีคนที่เราเกลียดเขานั้นเขาอาจจะลืมเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้นหรือไม่ก็ไม่เคยคิดถึงเราเลยก็ได้ แต่ตัวเราเองนั่นแหละกลับหมกมุ่นคิดแต่เรื่องเขา ดังนั้นต่อให้เขาเลิกที่จะมองเราเป็นศัตรูแล้ว แต่เราเองสิไม่ยอมเลิก กลับยังมองเห็นเขาเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา ความเป็นศัตรูมันก็ไม่มีวันหายไปจากเรา พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ความเกลียดชังนั้นเหมือนการที่เราถือถ่านร้อนไว้ในมือและไม่ยอมวางมันจนกว่าจะได้เอาไปโยนใส่คนที่เราเกลียด ความหมายหลักๆก็คือ ความเกลียดชังทําให้เราทุกข์ก่อนเสมอ มันเป็นถ่านร้อนที่เผามือเราก่อนเสมอ และยิ่งเราถือนานเรายิ่งเจ็บร้อนมากเท่านั้น ดังนั้นถ้าเรายังรักตัวเอง จงวางความเกลียดชังลงเพื่อความสุขของเราเองตลอดไป

อย่าให้ท้ายความเป็นศัตรูในใจเรา

เวลาเราเกลียดหรือไม่ชอบใครมันเป็นเรื่องปกติที่ในใจเราก็อยากจะบ่นหรือว่าเขา มันเป็นเรื่องดีถ้าเราได้ระบายความในใจแล้วทําให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น แต่การทำเช่นนั้นกลับเหมือนเราไปสุมไฟใส่ตัวเราเอง ซึ่งอาการสุมไฟก็คือ ยิ่งบ่น ยิ่งทะเลาะกับเขามากเท่าไร ในหัวของเราก็ยิ่งรื้อฟื้นเรื่องไม่ดีเก่าๆเอากลับมาคิด วกวนใหม่มากขึ้นเท่านั้น ทำให้เรายิ่งเกลียดเขามากขึ้น และทำให้เรายิ่งเห็นเขาเป็นศัตรู เห็นแต่เรื่องไม่ดีของเขา อันนี้คือการสุมไฟ เพราะมันทําให้ไฟแห่งความเกลียดชังในใจเรายิ่งลุกลามมากกว่าเดิม เหมือนไฟไห้มป่า มันทําให้เราสลัดความเป็นศัตรูในใจเราไม่ได้ บางทีอาจทำให้เรานอนไม่หลับเลยก็มี และมันก็ทําให้เราไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตประจําวันอีกด้วย ดังนั้นจงอย่าไปส่งเสริมความคิดหรือพฤติกรรมที่จะทําให้ความเป็นศัตรูในใจชองเรามีมากขึ้น การสุมไฟนี้ไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟเผาบ้านตัวเอง อย่างที่บอก สุดท้ายเราเจ็บก่อนเสมอ ดังนั้นอย่าไปให้ท้ายความเกลียดชัง ต้องหาทางทําอย่างไรก็ได้ให้มันลดน้อยลงไปเรื่อยๆจนมอดในที่สุด

ความเกลียดชังทําให้เรากลายเป็นคนสกปรก

เคยไหมที่เวลาเราเกลียดใครแล้ว เรามักจะมีความคิดที่ว่า อยากจะไปทําร้ายเขา.. อยากที่จะไปแกล้งหรือขัดผลประโยชน์เขา.. อยากเห็นเขามีความทุกข์.. หรือมีความสุขบนความล้มเหลวของเขา และยอมรับไม่ได้เวลาเขาได้ดี นี้คืออาการที่มาพร้อมกับความเป็นปฏิปักษ์ สิ่งที่เรารู้ว่ามันไม่ดีไม่น่าทํา, ไม่น่าพูด, หรือ ไม่น่าคิด เรากลับอยากทําในสิ่งชั่วร้ายนี้กับเขา ความเป็นปฏิปักษ์สามารถผลักดันและเปลี่ยนเราจากดีให้กลายเป็นคนไม่ดีได้ จากคนสะอาดให้เรากลายเป็นคนสกปรกซึ่งเราไม่อยากเป็น ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีใครอยากเป็นคนสกปรกแต่เมื่อไหร่ที่เราให้ค่ากับความเกลียดชังมากกว่าตัวเราเองนั่นก็หมายถึงเรายอมที่จะเป็นคนที่สกปรกได้เสมอ คําถามคือแล้วเราอยากเป็นคนแบบนั้นจริงๆหรือเปล่าล่ะ และถ้าเราทําทุกอย่างตามความเกลียดชังที่เรามีต่อเขา แล้วจุดจบของเรามันจะไปอยู่ที่ไหน ขอฝากข้อคิดว่า อาการอยากเป็นคนสกปรกยังแก้ได้ แต่การที่ทําสิ่งที่สกปรกลงไปแล้ว อันนี้แก้ไม่ได้ มีแต่จะต้องรับผลของการกระทําของเรา อันนี้ขอให้ลองเอาไปคิดไตร่ตรองดูให้ดี

ให้อภัยเขาเพื่อตัวเราเอง

ทําไมเราควรให้อภัยคนที่เรามองว่าเป็นศัตรู? มีเหตุผลอะไรที่เราควรให้อภัยเขา เพราะเขาได้เคยทําร้ายหรือทําผิดกับเรามาแล้ว ว่าไปอันนี้มันก็มีส่วนจริงอยู่ถ้าเรามองจากมุมของความเป็นศัตรู แต่ถ้าเรามองจากมุมของคนที่ไม่อยากสร้างความเป็นศัตรูอีกแล้ว จะเห็นว่าสิ่งที่ทําให้เราไม่มีความสุขอยู่ตอนนี้ก็คือการที่เราไม่ยอมดึงหนามแห่งความเกลียดชังออกไปจากใจเรา มันเหมือนเราบอกกับตัวเองว่า ตราบใดที่เขายังไม่จากโลกนี้ไป ตราบใดที่เขายังไม่มาขอโทษเรา เราก็จะปล่อยให้หนามนี้ทิ่มแทงใจเราอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เช่นนี้ เราจะไม่สามารถดึงหนามแห่งความเกลียดชังออกไปได้เลย ถ้าเราไม่รู้จักการให้อภัย ดังนั้นถ้าเราอยากที่จะออกจากความเจ็บปวดของความเป็นปฏิปักษ์แล้วเราต้องถอนหนามออกจากใจเราก่อนความเจ็บปวดก็จะหายไป นั่นคือเราควรเลือกที่จะให้อภัยเขาก่อนเพื่อความสุขของเรานั่นเอง และสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารภให้อภัยเขาได้ก็คือความเข้าใจซึ่งกันและกัน

เราเกลียดใครไม่ลงถ้าเราเข้าใจเขาพอ

สมมุติว่ามีคนมาขโมยผลมะม่วงจากต้นที่เราปลูกไว้หน้าบ้าน เราจะรู้สึกเกลียดเขามากๆ แต่อยู่มาวันหนึ่งขโมยคนนี้โดนจับ และเราก็ได้มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงลูก 3 คน และในวันนั้นเขาไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวให้ลูกกิน เลยจําเป็นต้องขโมย เราจะรู้สึกอย่างไร? เราก็คงจะเกลียดเขาไม่ลง หรือมากไปกว่านั้นเราอาจจะสงสารและอยากช่วยเขาเลยด้วยซํ้า นี้เพียงเพราะว่าเรามีความพยายามเข้าใจเขา ว่าทําไมเขาจึงต้องทําอย่างนั้นหรือเป็นอย่างที่เขาเป็น ซึ่งมันก็คงไม่ต่างอะไรกับคนที่เรามองว่าเป็นปฏิปักษ์ ถ้าเขาชอบดูถูกเรา เรารู้ได้อย่างไรว่าชีวิตเขาไม่ได้โดนครอบครัวหรือสังคมรอบข้างเขาดูถูกเหมือนกันมาตลอดชีวิต ถ้าเขาชอบมาแย่งคนที่เรารักไป เรารู้ได้ไงว่าชีวิตเขาเกิดมาในครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น เลยทําให้เขาขาดความรัก

ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าเขาเกิดมาในสังคมหรือครอบครัวที่หล่อหลอมให้เขาเป็นคนนิสัยไม่ดี เขาก็เลือกไม่ได้

ดังนั้น ก่อนที่เราจะเกลียดใครเราควรถามตัวเองก่อนว่าเราเข้าใจเขามากพอหรือยัง หรือว่าเราจะเกลียดเขาต่อไปโดยการไม่เปิดโอกาสที่จะเข้าใจเขา

เห็นศัตรูเป็นอาจารย์

ชีวิตเราต้องเจอบททดสอบเพื่อที่เราจะได้เป็นคนที่ดีและแกร่งขึ้น คนที่เป็นศัตรูที่เข้ามาในชีวิตเรานี้ก็คือบททดสอบอย่างหนึ่ง เขามาสอนและให้บทเรียนอะไรเราหลายๆอย่าง เขามาทําให้เราเห็นสิ่งที่เรามองข้าม เขามาทําให้เรารู้จักทางหนีทีไล่ในการที่จะอยู่ให้มีความสุขกับคนที่เราไม่ชอบ เขามาทําให้เราแข็งแกร่งขึ้น จริงอยู่ที่มันทำให้เราลําบากใจแต่ถ้าเราผ่านมันไปได้และเจอปัญหาอื่นๆอีก เราก็สามารถมองย้อนกลับมาและพูดกับตัวเองได้ว่าขนาดคนนี้ฉันยังรับมือได้ คนต่อไปก็สบายแล้ว

บางทีสิ่งที่เรากลัวก็คือความเป็นศัตรูในตัวเราเอง

เคยไหมที่เราชอบคิดกังวลในหัวเราว่าคนที่เรามองว่าเป็นศัตรูจะมาทําร้ายเราโดยวิธีที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย นี่มันราวกับว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในสมองเราแล้ว มาศึกษาจุดอ่อนของเราทุกอย่าง รู้คําพูดทุกคําพูดที่จะสามารถมาทําร้ายจิตใจเราได้มากที่สุด พอเราคิดแบบนี้เราก็คิดต่อไปอีกว่าเราจะหาวิธีแก้ไขและปกป้องตัวเองจากสิ่งที่เขาจะกระทํากับเรานั้นอย่างไร วนไปวนมาแบบนี้ทั้งๆที่มันอาจจะไม่เกิดขึ้นจริงๆเลย นี้คือความน่ากลัวของความคิดของการรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ เพราะเราเกลียดเขาและเราก็คิดว่าเขาเกลียดเรา สมองเราเลยสร้างเรื่องลบๆในหัวมากมายว่าเขาจะมาทําอะไรกับเรา โดยการเอาความเป็นศัตรูในใจเราไปจิตนาการผ่านตัวเขา มันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาความเป็นปฏิปักษ์ในใจเรามาสู้กับตัวเราเอง ในความจริงแล้วบางทีคนที่เรามองว่าเขาเป็นศัตรูก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับความเป็นปฏิปักษ์ในใจเรา

แผ่เมตตาให้คนที่เรามองว่าเป็นศัตรู

ถ้าเราเลือกที่จะออกจากความเป็นปฏิปักษ์จริงก็ต้องเลิกที่จะทำ หรือ คิดไม่ดีต่อเขา ซึ่งสิ่งนั้นก็คือการมีความหวังดีต่อเขา ใช่.. มันเหมือนเป็นเรื่องบ้าแต่ก็เป็นวิธีการที่คนสมัยก่อนใช้มานานที่ก็ยังใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน และมากไปกว่านั้นถ้ามองตามหลักของ neuro science หรือ ประสาทวิทยา มันก็น่าสนใจที่ว่า เส้นประสาทไหนมีการใช้บ่อยมันก็ยิ่งสามารถใช้ได้ง่ายขึ้น เช่นว่า เวลาเราคิดถึงคนที่เราไม่ชอบ ประสาทเราก็จะยิ่งไปทางที่ทําให้เรารู้สึกไม่ชอบ โกรธ หรือ ไปทางลบเป็นหลัก แต่ถ้าเราฝึกสมองเราใหม่โดยคิดทางบวก เช่น พยายามเข้าใจเขา ให้อภัยเขา ส่งความหวังดีให้เขา ทำอยู่เป็นประจํามันก็เข้าใจได้ เพราะเส้นประสาทมันถูกใช้ไปทางบวกบ่อยๆ มันก็คุ้นชินที่จะคิดเช่นนั้น ทําให้เราหยุดความเป็นปฏิปักษ์ได้ แล้วตัวเราเองล่ะครับลองหรือยัง หรือไม่อยากแม้แต่ที่จะลองเพราะเรายังให้ค่ากับความเกลียดชังในใจมากกว่าความสุขของเรา เราต้องการเช่นนั้นจริงๆหรือ แล้วความสุขจะอยู่กับเราได้อย่างไร?

ควรพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เมื่อ...

  1. ไม่มีทางออก
  2. อาการไม่ดีขึ้น
  3. พยายามแล้วแต่ไม่ได้ผล

สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:

ปรึกษานักจิตวิทยา

สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:

ปรึกษานักจิตวิทยา

สามารถให้ความคิดเห็นให้ กําลังใจ และช่วยพัฒนาได้ที่:

แบบฟอร์ม Feedback

ขอบคุณทุกความคิดเห็นและจะเอาไปพัฒนากล่องยาประจําใจครับ

สําหรับท่านที่อยากมีกล่องยาสามัญประจําใจไว้ที่บ้านหรือเป็นของฝากให้คนอื่นเมื่อกล่องยาประจําใจตีพิม สามารถติดต่อสั่งจองได้ที่:

แบบฟอร์มสั่งจองกล่องยาสามัญประจําใจ

หรือ

Line: @schooloflife

Line: @schooloflife

ตัวยาอาจจะใช้ได้กับบางคนแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางคน โปรคใช้วิจรณญานและเลือกใช้ได้สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าจะใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง