สับสน
ชีวิตไม่ได้มีความหมายอะไรในตัวของมันเองเพราะมันมีแต่ความหมายที่เรามอบให้กับชีวิต
กลับเข้ามาหาความชัดเจนภายใน
คนที่สับสนส่วนมากแล้วจะมีความไม่ชัดเจนว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการอะไร ดังนั้นสิ่งที่ต้องทําอย่างแรกก็คือกลับมาทบทวนชีวิตและหาความกระจ่างกับตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการ การเขียนระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมา ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยให้เราเห็นต้นตอในความต้องการของเราอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่เราทำงานอยู่กับบริษัทแห่งหนึ่ง และเมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งเรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า แล้วเพราะอะไร ทําให้เราถึงรู้สึกอย่างนั้น... ก็เพราะว่างานที่เราทําอยู่นี้เรายังไม่ได้ใช้ศักยภาพของเราอย่างเต็มที่เลย ทั้งๆที่เราสามารถจะทําอะไรได้ดีและมากกว่านี้อีกเยอะ และเมื่อวิเคราะห์ลึกๆแล้ว พบว่าบริษัทนี้ไม่ได้ put the right man in the right job เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ความอึดอัด และไม่สบายใจก็เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็มีความรู้สึกอื่นๆเกิดขึ้นตามมาอีกซึ่งก็คือ ความสับสน เช่นว่า ใจนึงอยากออกจากงานไปหางานใหม่ดีกว่า แต่อีกใจนึงก็อยากอยู่ เพราะถ้าออกตอนนี้เลย เราก็กลัวต้วเองขาดรายได้เราก็เลยจําใจต้องอยู่ในงานต่อไป แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าความสับสนได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว ซึ่งในชีวิตจริงของคนเราความสับสนเกิดได้เสมอถ้ามีความต้องการที่ขัดแย้งเกิดขึ้น เช่น
- จริงๆเราไม่จําเป็นต้องมีรถหรูหรือบ้านอันใหญ่โต แต่ก็กลัวน้อยหน้าคนอื่น ดังนั้น ความอยากใช้เงินเกินตัวก็เกิดขึ้น
- เราอยากสุขภาพดี แต่เราก็ยังอยากทานของหวานเพราะว่ามันอร่อย
- เราอยากเลิกกับแฟนที่นิสัยไม่ดี แต่เราก็กลับคบต่อไปเพียงเพราะเรากลัวที่จะอยู่ตัวคนเดียว
ความสับสนในชีวิตเกิดจาก ความต้องการของเราล้วนๆ และถ้าเราไม่มีความชัดเจนกับต้วเอง และมีความต้องการที่ขัดแย้งเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมชีวิตเราถึงเกิดความสับสนมากมายขนาดนี้
วิธีแก้ไขความสับสนก็คือการกลับมาคิดทบทวน, ทำความเข้าใจ, และคิดสร้างความชัดเจนในความต้องการของตัวเอง ความต้องการไหนสําคัญ ก็เก็บไว้ ความต้องการไหนมีแล้วทําให้เราหาความสุขไม่ได้ ก็ทื้งไป ความต้องการไหนขัดแย้งก็ต้องตัดใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ยิ่งเราตัดความต้องการออกได้มากเท่าไรเร็วเท่าไร ชีวิตเราก็ยิ่งเรียบง่ายเท่านั้น เมื่อชีวิตเรียบง่ายมีความต้องการน้อย เราก็หาความสุขได้ง่ายและมีความชัดเจนในชีวิตมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น
ย่อปัญหาให้เล็กลง
Albert Einstein เคยพูดว่า
“Everything should be made as simple as possible, but no simpler.”
Albert Einstein
ซึ่งแปลว่า เราควรทําทุกอย่างให้ง่ายเท่าที่จะทำได้
บางทีเราสับสนเพราะว่าปัญหาที่เรากําลังแก้อยู่มันใหญ่และยากเกินไป สมมุติว่าเรามีแผนหรือprojectที่เราอยากทําให้สําเร็จภายใน 10 ปี แต่scopeของงานมันใหญ่จนทําให้เราสับสนว่าจะต้องเริ่มอย่างไร สิ่งที่เราควรทําก็คือการย่อปัญหาให้มันง่ายลง แตกมันออกเป็นส่วนๆและแก้ปัญหาไปที่ละเปราะ
เหมือนเราอยากจะเดินขึ้นภูเขา ถ้าตอนนี้เราอยู่ที่ตีนเขาแล้วมองขึ้นไปที่ยอดเขาเราก็จะรู้สึกกังวลและท้อแท้ขึ้นมาทันทีว่าเราจะไปถึงยอดได้อย่างไร แต่จริงๆแล้วเมื่อเราย่อปัญหาให้มันเล็กลงให้มันง่ายลง เราก็จะเห็นว่าจริงๆแล้วสิ่งเดียวที่เราต้องทําก็คือการก้าวไปที่ละก้าว
ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่เราเผชิญมันจะใหญ่ขนาดไหน เราควรย่อมันลงมาให้ง่ายที่สุดก่อน เราไม่ต้องมองให้ไกลมากเกินไป projectเราอาจจะต้องส่งเดือนหน้าหรืออีกห้าปีข้างหน้า ซึ่งในที่สุดแล้วเมื่อเราย่อมันลงมา คําตอบมันก็จะอยู่ที่ผลของงานในแต่ละวันว่าเราได้ทําอะไรไปแล้ว และในที่สุดก็เข้าถึงจุดหมายนั้นในที่สุด
ชีวิตไม่ได้มีความหมายอะไรในตัวของมันเองเพราะมันมีแต่ความหมายที่เรามอบให้กับชีวิต
ดาวเคราะห์เกิดและตายเป็นธรรมดา ดาวเคราะห์บางดวงเมื่อถึงเวลาตายก็อาจจะกลายเป็นหลุมดํา บางดวงก็เป็น Supernova และการตายนี้ก็มีพลานุภาพในการทําลายล้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่ใกล้หรือไกลมันได้โดยที่มันไม่ได้ตั้งใจ การทําลายล้างนี้ไม่ได้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี มันเป็นแค่ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ชีวิตของเราคนหนึ่งที่เกิดมานี้ก็เหมือนกัน มันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรในตัวของมันเอง ชีวิตตามหลักชีววิทยาไม่ได้ให้เป้าหมายกับเราอะไรไปมากกว่าการสืบพันธุ์หรือการหาอาหาร แต่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาด เราสามารถรู้และแยกแยะได้ระหว่างสิ่งดีและไม่ดี เราสร้างคอนเซ็ปยากๆขึ้นมาได้เช่น ความรัก ความดี ความเสียสละ หรือ ความสวยงาม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทําให้ชีวิตของมนุษย์มีความหมายไปมากกว่าการอยู่รอด ชีวิตให้ความหมายเราไม่ได้ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะสับสบว่าเราเกิดมาทําไมหรือว่าเราควรจะทําอะไรกับชีวิต หน้าที่ของเราที่เกิดมาก็คือการให้ความหมายกับชีวิต และเมื่อนั้นเราก็จะไม่สับสน
ไปสักทางยังดีกว่าอยู่เฉยๆ
สิ่งที่เหมือนกันสําหรับมนุษย์ทุกคนคือเราไม่ได้เกิดมาแล้วรู้ทุกอย่าง ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติมากที่เราจะสับสน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือเวลาเราไม่รู้แล้วทําอะไรกับมัน สมมุติว่าเราอยู่ในห้องมืดแล้วเราต้องหาประตูทางออก แต่สิ่งที่เราทําก็คือนั่งคิดเฉยๆว่าทางออกมันอยู่ตรงไหน เมื่อไรเราจะเราทางออกเจอ สู้เดินไปในความมืดอย่างไร้จุดหมายยังดีกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็อาจจะคลําจนหาทางออกเจอ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะอยากที่จะเข้าใจตัวเอง, หาแรงบันดานใจในชีวิต, หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เรายังสับสนและตัดสินใจไม่ได้ เราก็เริ่มจากความมืดเสมอ และหน้าที่เราบางทีก็แค่ เดินไปในความมืด เข้าใจว่าบางทีคําตอบไม่ได้ออกมากจากการนั่งคิดมากเท่าไปกว่าการที่เราได้ลองและลงมือทํา
คิดอะไรไม่ออกก็ให้เริ่มจากการกลับมารักและดูแลตัวเอง
ด้านร่างกายก็ให้นอนหลับให้เพียงพอ ออกกําลังกายเป็นประจํา และกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ด้านจิตใจนี้จากปกติที่เราคิดเรื่องแย่ๆจนมีความกังวลเป็นนิสัยก็ให้พยายามฝึกใหม่ ฝึกที่จะนึกถึงเรื่องดีๆที่ทําให้เรามีความสุข เช่น สิ่งดีๆที่เราเคยทําให้อดีต ความสุขที่เราอาจจะกําลังมองข้ามอยู่ในตอนนี้ หรือเรื่องที่เราสนใจและอยากทําในอนาคต
ถ้ามีเวลาก็เอาตัวเองไปทําอะไรที่เราทําแล้วมีความสุข เช่น การพักผ่อน การไปทําบุญ การทํางานอดิเรก การช่วยเหลือผู้อื่นและคนรอบตัว หรือว่าจะเรื่องง่ายๆเช่นการจัดหรือทําความสะอาดบ้าน การเริ่มมาดูแลตัวเองไม่เคยเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อให้ปัญหาที่เราเจอมันจะสับสนมากน้อยขนาดไหน และบางทีเพียงแค่เราหันมารักและดูแลตัวเองอย่างจริงจัง ความสับสนก็อาจจะหายไปเองได้เหมือนกัน
ควรพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เมื่อ...
- ไม่มีทางออก
- อาการไม่ดีขึ้น
- พยายามแล้วแต่ไม่ได้ผล
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถให้ความคิดเห็นให้ กําลังใจ และช่วยพัฒนาได้ที่:
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและจะเอาไปพัฒนากล่องยาประจําใจครับ
สําหรับท่านที่อยากมีกล่องยาสามัญประจําใจไว้ที่บ้านหรือเป็นของฝากให้คนอื่นเมื่อกล่องยาประจําใจตีพิม สามารถติดต่อสั่งจองได้ที่:
แบบฟอร์มสั่งจองกล่องยาสามัญประจําใจ
หรือ
Line: @schooloflife
Line: @schooloflife
ตัวยาอาจจะใช้ได้กับบางคนแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางคน โปรคใช้วิจรณญานและเลือกใช้ได้สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าจะใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้