ขี้เกียจ
แนวทางและหลักการในการรักษา
ทําสิ่งแวดร้อมให้เอื่อต่อการทํางาน
ถ้าเราเป็นคนชอบเล่นเกมส์สิ่งที่เราไม่ควรมีใกล้ตัวก็คือเกมส์ ถ้าเราเป็นคนที่ชอบดูหนังเราควรเลิกมีทีวีในห้องทํางาน ถ้าเรามีเพื่อนที่มักชวนเราไปสังสรรค์ทําให้เราไม่มีแรงหรือสมาธิในการทํางานในวันต่อไปเราก็ควรฝึกที่จะปฎิเสธ ถ้าเรารู้ว่าเวลาเราอยู่บ้านแล้วทํางานไม่มีประสิทธิภาพเราก็อาจจะต้องไปทํางานที่ห้องสมุด นี้คือการจัดการสิ่งแวดร้อมให้เอื่อต่อการทํางาน เหมือนเราจะเดินจากจุด A ไป จุด B ถ้ามันมีอุปสรรคมีของมาวางกะเรี่ยกะราดระหว่างทาง มันก็ทํางานเราเดินจากจุด A ไป B ได้ช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราต้องฉลาดในการจัดการสิ่งแวดร้อมของเราเองเพื่อสร้างสภาพแวดร้อมที่เอื่อที่สุดในการทํางาน
สร้างระเบียบวินัยในชีวิต
การมีสิ่งแวดร้อมที่ดีนี้ก็เป็นเรื่องที่สําคัญ แต่สิ่งที่อาจจะสําคัญกว่าก็คือการจัดระเบียบในชีวิตของเราเอง เพราะบางทีต่อให้เรามีห้องทํางานที่ดีที่สุด มีคอมพิวเตอร์ไวที่สุด ไม่มีอะไรที่มารบกวนเรา แต่สิ่งที่กลับรบกวนและเป็นอุปสรรคมากที่สุดกลับเป็นตัวเราเอง ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ว่าสิ่งแวดรอมเป็นอย่างไร เราก็ยังหาทางขี้เกียจได้อยู่เสมอ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องมีมากกว่าระเบียบวินัยในการจัดการสิ่งแวดล้อมนั้นก็คือการระเบียบวินัยในการจัดการจัดสรรชีวิตของเราเอง เช่น การจัดตารางเวลาในการทํางานที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น หากเราวางแผนของชีวิตเราไปอย่างดีแล้ว มันไม่มีพื้นที่ให้เราขี้เกียจ แต่ถ้าเราไม่มีการวางแผน ใช้ชีวิตสะเปะสะปะ อันนี้แน่นอนว่า สุดท้ายเราก็ทําตามความรู้สึก ซึ่งก็คือทําตามความขี้เกียจ
มีเป้าหมายในชีวิตที่น่าตื่นเต้นพอที่จะทําให้เราไม่ขี้เกียจ
บางทีเราขี้เกียจไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นคนขี้เกียจแต่มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่มีเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นพอที่จะทําให้เราขยัน ดังนั้นสิ่งที่เราอาจจะต้องกลับมาทบทวนเป้าหมายของตัวเองว่าเราทํางานไปเพื่ออะไร แล้วมันน่าตื่นเต้นพอไหมที่จะทําให้เราอยากที่จะทํามัน ถ้าไม เราอาจจะต้องสร้างเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเอง หรือไม่ก็ต้องมี มองสิ่งที่เราทําในมุมมองใหม่ หรือว่าจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า เราต้องมีคําตอบให้กับคําถามที่ว่าเราจะทํามันไปเพื่ออะไรที่ดีกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่น เราไม่อยากอ่านหนังสือสอบ เราขี้เกียจ ตอนนี้เรามองว่าการอ่านหนังสือสอบเป็นความทุกข์ แต่ว่าถ้าเราลองมองให้ดีๆ ฝึกที่จะมองใหม่ เราก็อาจจะเห็นว่าการเรียนนั้นสําคัญต่ออนาคตของเรา สําคัญต่อคนในครอบครัวเราที่ยังตั้งความหวังไปกับเรา อะไรแบบนี้ มันไม่ใช่แค่ขี้เกียจไม่อยากทําแต่การทํางานหรือสิ่งที่เราต้องทํานั้นมันมีความหมายมากไปกว่านั้น อันนี้คือหน้าที่ของเรา เราต้องหาคําตอบให้เจอ ว่าทําไมเราควรทําสิ่งนี้ และมันก็ต้องเป็นคําตอบที่มีค่าพอที่จะผลักดันเราให้ทํามันจริงๆ
“If you know the why, you can endure any how.” ถ้าเรารู้คําตอบของคําถามว่า "ทําไม" เราอดทดได้ต่อทุกคําถามที่ว่า "อย่างไร"
Friedrich Nietzsche
ฝึกเอาชนะความขี้เกียจให้เป็นนิสัย
การที่เราจะโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากมือสมัครเล่นเป็นมืออาชีพ สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต้องก้าวข้ามก็คือการที่เราต้องทําในสิ่งที่เราไม่อยากทํา หมอที่นอนน้อย ต่อให้สภาพไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็น ถึงเวลาผาตัดก็ต้องทํา นักกีฬาต่อให้ไม่อยากไปซ้อมแต่ก็ไปซ้อม นักเขียนต่อให้ไม่มีแรงบันดานใจก็ยังฝึกที่จะมีระเบียบวินัยกับตัวเองโดยการเขียนทุกวัน นี้คือสิ่งที่แยกความเป็นผู้ใหญ่ออกจากเด็ก ความเป็นมือสมัครเล่นออกจากมืออาชีพ ดังนั้นหากเราอยากที่จะเติบโต มีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความเป็นผุ้ใหญ่และความเป็นมืออาชีพ เราก็ต้องฝึกทําในสิ่งที่เราไม่อยากทําอยู่เสมอๆ อย่าไปเห็นว่าความขี้เกียจเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสนุก เป็นตัวตนของเรา มันไม่ช่วยให้อะไรดีขี้น นอกจากได้สนองความขี้เกียจ บางคนถามว่าทําอย่างไรก็ไม่สามารถเลิกจากอาการขี้เกียจได้สักที แต่คําตอบก็คือ เราไม่มีวันเลิกขี้เกียจได้ถ้าเรายังชอบ อยาก และ ยังให้ท้ายความขี้เกียจอยู่
เข้าใจถึงผลเสียของความขี้เกียจและประโยชน์ของความไม่ขี้เกียจให้ชัดเจน
ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งนํ้าตา นี้คือคําพูดที่คนไทยมักใช้กันเมื่ออธิบายอะไรบางอย่างที่เรารู้ว่าเราควรทําแต่ก็ไม่ทําเพียงเพราะยังไม่ประจักต่อผลลัพธุ์ การที่เราขี้เกียจนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราได้ตอนนี้ก็คือความสบาย ความได้ทําตามใจ แต่ผลลัพธุ์ในระยะยาวที่ตามมามันคืออะไร ถ้าเราสอบตกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราสะสมนิสัยขี้เกียจไว้แล้วมันจะกระทบต่อหน้าที่การงานเราในอนาคตอย่างไร แล้วเราจะมองตัวเองอย่างไร มองตัวเองตัวความภมูิใจหรือความผิดว่า ฉันได้เป็นคนที่ขี้เกียจ ได้ใช้ชีวิตอย่างขี้เกียจ ดังนั้นเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เราควรที่จะเห็นโลงศพก่อนเลย ว่าถ้าเราขี้เกียจแล้วสุดท้ายชีวิตเราจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราขยันแล้วชีวิตเราจะกลายเป็นอย่างไร คิดถึงมันบ่อยๆ เขียนมันออกมาได้ยิ่งดี จนกว่าจะเห็นชัดและเข้าใจคุณและโทษของความขี้เกียจก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
วิธีรักษาอาการขี้เกียจ
- จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื่อต่อการทํางาน ฉลาดในการเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ทําให้เราไม่ขี้เกียจ
- จัดการชีวิตของตัวเองให้มีระบบระเบียบ โดยเฉพาะการจัดการเวลา ในหนึ่งอาทิตย์เราอย่างใช้มันอย่างไร ลองเขียนมาดูเลย ว่าในหนึ่งวันจะนอนกี่โมง จะตื่นกี่โมง ตื่นมาแล้วจะทําอะไรบ้าง เพื่อใช้ชีวิตให้คุ่มค่าสุด การทําแบบนี้ก็ช่วยลดเวลาและพลังงานที่จะต้องมาคิดด้วยว่าแต่ละวันจะต้องทําอะไร ทําให้การทํางานมีอุปสรรคน้อยลงด้วย
- หาเป้ามหายที่ทําให้เราอยากตื่นเช้ามาทํามันทุกวัน หรืออย่างน้อย หาเหตุผลหรือคําตอบของตัวเองให้เจอว่าทําไมเราถึงควรทําสิ่งนี้ หากเรายังขี้เกียจอยู่มันอาจจะแปลว่า 1) เป้าหมายเราดีไม่พอ 2) เรายังมองมันไม่ถูกต้อง 3) เรายังไม่ได้พยายามมองมันในมุมใหม่
- เมื่อมีความไม่อยากทํางาน อยากขี้เกียจเกินขึ้น ให้ฝึกที่จะฝืนมัน อย่าไปทําตามมัน เอาชนะมัน อยู่เหนือมันให้ได้ แล้วความขี้เกียจจะมีอํานาจต่อจิตใจเราน้อยลง แน่นอนว่าในทางตรงกันข้ามการที่เรายอมมัน ก็เท่ากับว่าเราให้ท้ายหรือมอบอํานาจต่อความขี้เกียจ ทําเรามีอํานาจต่อลองกับมันน้อยลง ทําให้เลิกที่จะขี้เกียจได้ยากขึ้น
- เข้าใจให้ชัดเจนคุณและโทษของความขี้เกียจ เขียนลงมาเลยก็ดีว่าถ้าเราขี้เกียจแล้วผลลัพธุ์จะเป็นอย่างไร แล้วถ้าขยันแล้วผลลัพธุ์จะเป็นอย่างไร เพื่อให้สิ่งที่เราเขียนมันฝังลงไปในสมองให้ลึกที่สุด
ควรพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เมื่อ...
- ไม่มีทางออก
- อาการไม่ดีขึ้น
- พยายามแล้วแต่ไม่ได้ผล
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถให้ความคิดเห็นให้ กําลังใจ และช่วยพัฒนาได้ที่:
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและจะเอาไปพัฒนากล่องยาประจําใจครับ
สําหรับท่านที่อยากมีกล่องยาสามัญประจําใจไว้ที่บ้านหรือเป็นของฝากให้คนอื่นเมื่อกล่องยาประจําใจตีพิม สามารถติดต่อสั่งจองได้ที่:
แบบฟอร์มสั่งจองกล่องยาสามัญประจําใจ
หรือ
Line: @schooloflife
Line: @schooloflife
ตัวยาอาจจะใช้ได้กับบางคนแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางคน โปรคใช้วิจรณญานและเลือกใช้ได้สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าจะใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้