ชีวิตไม่มีความหมาย
เหตุที่อาจส่งผลกระทบให้ชีวิตรู้สึกไม่มีความหมาย
เอาความหมายของชีวิตไปผูกไว้กับสิ่งภายนอก
ในยุควัตถุนิยมนี้ โรคที่คนเป็นกันมากที่สุดก็คือการที่เราเอาค่าของตัวเองไปผูกไว้กับสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็น เงินทอง ทรัพย์สิน การยอมรับ หรือ ตําแหน่งหน้าที่ ตอนที่เราได้มันมานี้เราก็ดีใจ รู้สึกดี รู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากขึ้น แต่ในวันที่สิ่งของพวกนี้ออกจากชีวิตเราไป ค่าของชีวิตเราก็ตกไปตามมันเช่นกัน จนถ้าวันใดเราไม่มีอะไรเลย การที่เราเอาค่าของชีวิตเราไปผูกไว้กับสิ่งของภายนอกเช่นนี้ ก็ทําให้เรารู้ว่าเราไร้ค่าได้อย่างไม่ว่างเว้น
มัววิ่งตามค่านิยมของสังคมจนหาความหมายที่แท้จริงไม่เจอ
ค่านิยมเปลี่ยนแปลงเสมอ ในยุคนาซี ก็มีค่านิยมและความเชื่อว่าคนยิว คนดํา และคนเอเซีย นี้ตํ่ากว่าคนฝรั่ง จนสุดท้ายก็มีการการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตอนนี้กลับตาสว่างจึงเห็นว่ามันเป็นการเยียดเชื้อชาติหรือสีผิว สมัยเมื่อ 2 ถึง 3 ร้อยปีที่แล้วในประเทศจีน คนมีค่านิยมว่าผู้หญิงเท้าเล็กคือสวย ก็มีวัฒนธรรมการดัดเท้าให้เล็กจนผิดรูปผิดร่างอย่างน่ากลัวจนเดินไม่ได้ตามที่เห็นในภาพ แต่ในยุคนั้นสังคมมองว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดา
From Wikipedia
ยุคนี้ที่เราอยู่ก็มีค่านิยมเหมือนกัน อาจจะไม่ใช่การดัดเท้า ซึ่งเราเองอาจจะไม่รู้ตัวว่าเรากําลังถือค่านิยมนั้นๆอยู่ เหมือนเป็นปลาที่อยู่ในนํ้า แต่สุดท้ายแล้ว มันก็คือค่านิยม ที่อาจจะมีค่าแค่ในยุคและสังคมนี้ แต่ในความจริงแล้วอาจไม่ได้มีค่าอะไรเลย ซึ่งคําถามที่เราต้องกลับมาถามตัวเองก็คือ แล้วตอนนี้ค่านิยมในสังคมเราคืออะไร แล้วนํ้าที่เรากําลังว่ายอยู่นั้นจริงๆแล้วมันสีอะไร มีดีหรือแย่อย่างที่เราเชื่อๆกันมาหรือเปล่า หรือว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เรานึกคิดว่าเราอยากได้อยากเป็นในชีวิต จริงๆมันก็แค่เป็นค่านิยม
ไม่มีความชัดเจนหรือจุดยืนใดๆว่าจริงๆแล้วว่าค่าของชีวิตเราคืออะไรและจะอยู่ไปเพื่ออะไร
กิ่งไม้ที่ปักไม่แน่นในกระแสนํ้าที่เชี่ยว ไม่นานก็ต้องไหลไปตามกระแส ชึวิตที่ไม่ชัดเจนไม่มีจุดยืนไม่มีอะไรให้ยึดเหนียวจิตใจนี้ก็เหมือนกัน มันไม่สามารถทนต่อความเชี่ยวของกระแสสังคมได้ และสุดท้ายก็ต้องไหลไปตามกระแสหรือค่านิยมของสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เมื่อเราใช้ชีวิตวิ่งตามกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความต้องการและความหมายของชีวิตเราก็ไม่มีความมั่นคง เหมือนซื้อ iphone ลุ้นใหม่แล้วแต่ปีต่อก็มีลุ้นใหม่ออกมายั่วให้เรารู้สึกอยากได้อีกอย่างนี้ไปเลื่อยๆ สุดท้ายก็หาจุดที่เรามีความรู้สึกพอใจกับตัวเองไม่เจอ มีแต่การที่เราต้องวิ่งไล่ตามสิ่งต่อไปโดยหาความรู้สึกพอใจไม่เคยเจอ นี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่อาจจะทําให้เรารู้สึกเหนื่อย ว่าทําไมชีวิตเราเองไม่เติมเต็มและไม่มีความหมายเท่าที่ควรสักที บางทีการวิ่งไลค่านิยมก็ทําให้เราสับสนด้วย ว่าจริงๆแล้วเราควรหรือไม่ควรที่จะต้องการอะไรกับชีวิต
ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองก็ยังมองตัวเองว่าใช้ชีวิตได้อย่าง "ไร้สาระ"
เราอาจจะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ อยากเปลี่ยนแปลงสังคม อยากเป็นคนดี อยากใช้ชีวิตให้มีความหมาย แต่ตราบใดที่เรามีแต่คําพูดแต่ไม่มีการกระทํา มันก็เป็นแค่คําพูดลอยๆ การกระทําต่างหากที่บอกตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ถ้าปากเราพูดว่าเราดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เอาเข้าจริงเรากลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า ไม่ได้ทําให้ชีวิตตัวเองหรือใครดีขึ้น ใช้ชีวิตไปวันๆตามความรู้สึก ไม่ว่าคําพูดที่เราให้ต่อตัวเองหรือต่อใครจะดีขนาดไหน เราก็หนีไม่พ้นความจริงที่ชีวิตเรานั้นไร้ค่า เพราะความจริงหรือการกระทํามันเป็นอย่างนั้น ดังนั้นเราใช้ชีวิตแบบไหน ความรู้สึกที่เราได้ก็ต้องเป็นแบบนั้นอย่างหนีไม่พ้น
ใช้ชีวิตได้ไม่ดีเท่าที่เรารู้ว่าเราสามารถใช้ได้
ไม่มีใครรู้ศักยภาพของเราดีเท่าตัวเราเอง และเมื่อเราไม่เอาความสามารถที่มีมาใช้อย่างเต็มที่ เราเองก็ทราบดีอยู่ในอกว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย น่าผิดหวัง หรือจะพูดอีกแบบก็ได้ว่า เราได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าและไม่ได้ใช้ชีวิตให้มีค่าเท่าที่ควร จนบางทีอาจจะเกรียดตัวเองเพราะเหตุนี้เลยก็มี
ตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆก็คือคนที่มีทุกอย่างพร้อม มีความฝัน มีเงินทอง มีเวลา มีคนสนับสนุน มีความสามารถ แต่กลับไม่ทําในสิ่งที่ตัวเองรู้ว่าเราควรทําและทําได้ กลับขี้เกียจและเสียเวลาชีวิตไปวันๆอย่างไร้จุดหมาย กลับไม่กล้าออกมาจาก comfort zone กลับเลือกทางเดินที่ง่ายให้กับชีวิตของตัวเองร แน่นอนผลลัพธ์ที่ได้จากการทําเช่นนี้ก็คือความรู้สึกว่าเราไร้ค่าต่อตัวเอง
มองชีวิตตัวเองด้วยความโลภ
คนที่มองตัวเองด้วยความโลภไม่ว่าจะดีหรือเก่งขนาดไหนก็รู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเองดีไม่พอ เราไม่ได้มองตัวเองด้วยความรักความเข้าใจจากมุมมองของความจริง แต่กลับมองและวัดค่าของชีวิตตัวเองตามความอยากของเรา เราเก่งแล้วก็อยากเห็นตัวเองเก่งกว่านี้เราก็อาจจะพูดเหยีดตัวเอง ว่าทําไมทําได้แค่นี้ ต่อให้เรารวยแล้ว ความโลภก็ยังสามารถหาคําพูดมาตอกยํ่าเราได้เสมอว่า ทําไมคนอื่นเขารวยยังกว่าเราได้ เช่นนี้เป็นต้น ความโลภของมษุยน์เป็นสิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด หาเราไปใช้ชีวิตตามมัน ไปเป็นทาสมัน ความทุกข์ของเราก็ไม่มีวันสิ้นสุดเช่นกัน
แนวทางและหลักการในการรักษาความรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย
ชีวิตเรามีความหมาย เท่ากับความหมายที่เราให้กับมัน
ชีวิตมันไม่ได้มีความหมายอะไร นอกไปจากสัญชาตญาณมีมาพร้อมกับชีวิตนั้นก็คือ สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดและการสื่อพันธ์ เมื่อเราอยู่รอดได้แล้ว ความต้องการในชีวิตก็ลดน้อยลงตามลําดับ เพราะเหตุนี้ นอกจากความต้องการพื้นฐานเพื่ออยู่รอดแล้วชีวิตคนเราก็ไม่ได้มีโปรแกพมหรือความต้องการอะไรมากมายไปจากนั้น จนบางทีอาจจะทําให้เรารู้สึกว่าชีวิตเคว้งคว้างหรือว่างเปล่า นี้คือสิ่งที่นักปรัชญาสาย Existentialism เรียกว่า "The Absurdity of Life" หรือการเผชิญหน้ากับความไร้ความหมายของชีวิต ซึ่งหน้าที่ของเราเมื่ออยู่ในจุดนี้ก็คือการสร้างความหมายให้กับมัน อย่าไปรอให้ชีวิตมีความหมาย เพราะมันไม่มีจนกว่าเราเองจะสร้างให้กับมัน ดังนั้น ถูกต้องแล้ว ที่เรารู้สึกว่าชีวิตมันไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะเราเองต่างหากที่จะต้องให้ความหมายกับมัน
ใช้ชีวิต อย่าให้ชีวิตมาใช้เรา
ตอนนี้เรากําลังใช้ชีวิตเราหรือว่าเรากําลังปล่อยให้ชีวิตใช้เรา? การที่เราปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เช่น ความรู้สึกแย่กับตัวเอง ความรู้สึกว่าชีวิตเราไม่มีความหมาย ความเศร้า ความเสียใจอะไรต่างๆมาดึงให้ชีวิตเราจมอยู่กับที่แบบนี้เขาเรียกว่าการปล่อยให้ชีวิตใช้เรา การใช้ชีวิตคือการที่เราอยู่เหนืออารมณ์ มันคือการอยู่กับอารมณ์ให้เป็นโดยไม่ปล่อยให้มันมาดึงให้ชีวิตเราจมอยู่กับที่ เช่น เรารู้สึกไม่มีความหมาย แต่เราก็ไม่ได้จมไปกับมัน ในทางตรงกันข้ามเรากลับยอมรับมันได้ และเริ่มหันมาหาวิธีว่าเราจะต้องทําอย่างไรเพื่อให้ชีวิตเรากลับมามีความหมายอีกครั้ง อันนี้เราเป็นคนใช้ชีวิต
ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความหมาย
ชีวิตมีความหมายเมื่อเราใช้ชีวิตอย่างมีความมหาย ฟังแล้วก็เหมือนเป็นสิ่งที่ใครๆก็รู้ แต่ความจริงก็คือมันเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้แต่กลับไม่ทํา นี้ก็ถือได้ว่าเป็นเหตุผลหลักที่ทําให้ชีวิตเรารู้สึกไม่มีค่า ดังนั้น หากเราอยากมีชีวิตที่มีความหมาย ก็อย่าแต่มัวแต่อยากอย่างเดียว ทํามันด้วย แล้วสุดท้ายชีวิตเราก็จะมีความหมายเอง อย่ารอ อย่านั่งเฉยๆ แล้วหวังว่าอยู่ดีๆชีวิตจะมีความหมายขึ้นมาเอง มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น อย่าไปบ่นว่าทําไมชีวิตไม่มีความหมาย สิ่งที่เราควรทํามากกว่าก็คือ ถามตัวเองทุกๆวันว่าแล้ววันนี้เราได้ใช้ชีวิตให้มีความหมายแล้วหรือยัง?
ความหมายมันขึ้นลงตามความอยาก
ถ้าเราอยากรวยมันก็แสดงว่าเรายังรวยไม่พอ ความรู้สึกมันก็เหมือนว่าเราจน แต่ถ้าเราไม่ได้อยากรวยขึ้น มีความพอใจกับสิ่งที่เรามี ต่อให้จริงๆแล้วเราจะไม่ได้มีเงินมากมาย ความรู้สึกก็เหมือนว่าเรารวยแล้ว ความหมายของชีวิตนั้นขึ้นลงตามความตัองการของมนุษย์ ยิ่งมีความต้องการมาก เราก็ยิ่งรู้สึกด่อยค่า ยิ่งมีความต้องการน้อย หรือ ดีกว่านั้นไม่มีเลย เราก็จะไม่รู้สึกด่อยค่า
คนเราเกิดมาตัวเปล่า ตายก็ตายตัวเปล่า แล้วจะไปเอาค่าอะไรให้มากมายกับชีวิต
ชีวิตคนเรามีความตายเป็นเบื่องหน้า ไม่ว่าเราจะมองตัวเองว่าเป็นคนยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีปัญหาที่หนักหนาขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันก็เท่านั้น มีปลายทางคือความตาย
ทุกคนที่เกิดมาต้องตาย ความตายอยู่กับเราในทุกลมหายใจ ไม่มีใครรู้ได้ว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้าย การระลึกถึงความตายจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทําให้เราเห็นค่าของชีวิตเราที่มีอยู่ในตอนนี้มากขึ้น เพราะเมื่อเราสามารถตายได้ทุกทีและทุกเวลา เราก็จะรู้สึกขอบคุณและเห็นค่าชีวิตที่เรายังมีอยู่ ปัญหาที่เรามองว่ายิ่งใหญ่เมื่อเห็นความตายอยู่เบื่องหน้าแล้ว ก็กลับดูเล็กลงหรือว่าไร้สาระได้เลยทันที สิ่งไหนที่ไม่ชัดเจนในชีวิต ไปหลงผิดไว้ว่าสําคัญ เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายแล้ว ก็กระจ่างขึ้นมาทันทีว่าที่จริงอะไรคือสิ่งที่มีค่าและอะไรไม่
มีความหมายของชีวิตที่ง่ายและเข้าถึงได้ทุกวัน
นิยามความหมายชีวิตที่ดีควรเป็นนิยามที่ 1) ไม่อยู่นอกตัวเรา และ 2) เราสามารถหาได้ด้วยตัวเองได้ทุกวัน เช่น แทนที่จะเอาค่าของตัวเองไปขึ้นอยู่กับเงินทอง ความสําเร็จ หรือตําแหน่งหน้าที่ การก็มีนิยามเช่นว่า เราจะใช้ชีวิตทุกวันให้เต็มความสามารถของเรา เป็นต้น อันนี้มันไม่ได้ขึ้นกับสิ่งของนอกกาย และเป็นนิยามความหมายของชีวิตที่เราทําให้ตัวเองได้ทุกวัน การมีนิยามความหมายของชีวิตเช่นนี้ก็ทําให้เรามีความสุขง่าย ทุกข์ยาก และมีความพอใจในชีวิตของเราเองได้ทุกวัน มากไปกว่านั้นมันปอกกันให้เราไม่ไหลไปตามค่านิยมของสังคม ทําให้เรามีความมั่นคงและหนักแน่นในหลทางชีวิตของเราเอง
วิธีปฎิบัติต่อความไร้ความหมายของชีวิต
- สร้างนิยามความหมายของชีวิตของเราเอง ที่ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก แต่เป็นนิยามที่ง่ายและทําให้เรามีความพอใจในชีวิตของเราเองได้ทุกวัน
- ตรวจสอบและหาต้นตออยู่ตลอดเวลาว่าอะไรและทําไมตอนนี้เราถึงรู้สึกไม่มีค่า เช่น ตอนนี้เราเอาค่าของเราไปผูกไว้กับสิ่งภายนอกอยู่หรือเปล่า? เรามีความโลภกับตัวเองมากเกินไปจนเรามองตัวเองแต่ในแง่ลบอยู่หรือเปล่า? เป็นต้น เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยว่างเหตุพวกนี้ อย่าไปเอากับมัน
- เข้าใจกระแสและค่านิยมของสังคม เอามันมาพิจราณาอย่างละเอียดอยู่เสมอว่าเราควรหรือไม่ที่จะทําตามมัน แล้วเราควรเอาค่าของตัวเองไปวัดตามความเชื่อของสังคมไหม แล้วข้อดีข้อเสียมันคืออะไร
- ระวังความโลภของตนเองให้มาก ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับความจริง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเรากําลังมองตัวเองตามความอยากมากกว่าความจริง ฝึกที่จะมองตัวเองด้วยความรักและความเข้าใจให้มาก
- วางแผนทุกๆวันว่าวันนี้ต้องทําอะไรบ้างให้อย่างน้อยเรารู้สึกได้ว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความหมาย
- ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความหมาย
ควรพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เมื่อ...
- ไม่มีทางออก
- อาการไม่ดีขึ้น
- พยายามแล้วแต่ไม่ได้ผล
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถให้ความคิดเห็นให้ กําลังใจ และช่วยพัฒนาได้ที่:
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและจะเอาไปพัฒนากล่องยาประจําใจครับ
สําหรับท่านที่อยากมีกล่องยาสามัญประจําใจไว้ที่บ้านหรือเป็นของฝากให้คนอื่นเมื่อกล่องยาประจําใจตีพิม สามารถติดต่อสั่งจองได้ที่:
แบบฟอร์มสั่งจองกล่องยาสามัญประจําใจ
หรือ
Line: @schooloflife
Line: @schooloflife
ตัวยาอาจจะใช้ได้กับบางคนแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางคน โปรคใช้วิจรณญานและเลือกใช้ได้สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าจะใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้อง
สับสน
ชีวิตไม่ได้มีความหมายอะไรในตัวของมันเองเพราะมันมีแต่ความหมายที่เรามอบให้กับชีวิต
#กล่องยาสามัญประจําใจ