ปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจ
ไม่มีใครสามารลบความจําของตัวเองได้ แต่สิ่งที่เราทําได้คือเรียนรู้ที่จะเป็นมิตรและอยู่กับมันให้เป็น
สัญญาณและอาการ
- กลับไปคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้วอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าเรื่องจะผ่านไปแล้วนานขนาดไหนก็ตาม บางทีอาจจะเข้ามาในรูปแบบของความฝัน
- ยังมีอารมณ์ที่พ่วงขึ้นมาทุกครั้งเมื่อคิดถึงหรือเจอบุคคลหรือเหตุการเดิมๆหรือคล้ายคลึง
- พยายามหนีจากบุคคนเหตุการหรือความรู้สึกที่อาจจะทําให้รื้อฟื้นเหตุการที่ทําให้เราเจ็บปวด
- มองชีวิตและโลกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะในทางลบ เช่น ไม่เชื่อใจคน ไม่กล้าออกจากบ้าน หมดความมั่นใจในตัวเอง หรือ ไม่กล้ามีความสัมพันธ์อีกต่อไป เป็นต้น
- มีอาการแปลกแยกตัวเองออกจากชีวิตและความรู้สึกของตัวเอง (dissociation)
(American Psychiatric Association, 2013)
แนวทางและหลักการการรักษา
เอาตัวออกห่างจากสิ่งที่ทําให้เราเจ็บปวดก่อน
ระยะแรกของการรักษา ถ้าเป็นไปได้เราควรเอาตัวเองออกมาจากสิ่งที่ทําให้เราเจ็บปวดก่อนเพื่อบรรเทาและลดความรู้สึกด่านลบที่มาพร้อมกับปมหรือเหตุการณ์นั้นๆ การเอาตัวเองออกมานี้ก็ไม่ออกมาเพื่อหนี แต่เพื่อมาตั้งหลักใหม่ เพื่อกลับมาดูแลตัวเองและรักษาปมที่ทิ้มแทงใจเราทุกครั้งที่คิดถึงหรือประสบกับคนหรือเหตุการณ์ที่คลายๆกัน เราอย่าไปคิดว่าเราสู้มันได้ เพราะการหลีเลี่ยงคือการเอาชนะโดยที่เราไม่จําเป็นต้องสู้
ฝึกรับมืออารมณ์และความคิดแซกให้เป็น
ปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจ หรือ "trauma" หายไม่ได้หากเรารับมือกับมันไม่เป็น ยกตัวอย่างเช่นการที่เราปล่อยให้ความคิดพาเรากลับไปสู่เหตุการณ์ที่ทําให้เราเสียใจอยู่เสมอๆ นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติม เพราะมันจะมีแต่จะทําให้อาการและความเจ็บปวดของเรามากขึ้น เหมือนแผลที่ถูกหนามทิ่มแทงแล้วแต่เรากลับไปกดหนามให้ลึกลงกว่าเดิม
เช่นเดียวกัน คนที่เคยถูกด่าว่าหรือดูถูก ก็อาจจะกลัวคําพูดและความคิดของคนอื่นตลอด จนบางทีต่อให้ไม่มีใครว่าอะไร ความคิดของเราก็แซกมาก่อนเลยว่าคนอื่นเขากําลังด่าหรือดูถูกเราอย่างแน่นอน นี้คือความน่ากลัวหรือความหลอกหลอน ที่คนที่มี trauma น่าจะเข้าใจดี มันมาทําร้ายเราก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้นสักด้วยซํ่าไป บางทีต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ ความคิดก็แซกมาด้วยคําด่าหรือคําดูถูกที่เราสร้างขึ้นมาให้กับตัวเอง
อีกตัวอย่างสําหรับการจัดการปมในใจเราอย่างไม่ถูกต้องก็คือ เมื่อเราคิดถึงคนที่เคยทําอะไรผิดกับเรา เราก็โกรธทุกครั้ง เราก็คิดว่าเขาน่าจะทําอย่างนี้ ไม่น่าทําอย่างโน้น เขาเป็นคนนิสัยไม่ดียังไง การคิกวนไปวนมาแบบนี้คือการส่งเสริมให้ปมเรายิ่งฝังรากและมีอํานาจในชีวิตเรามากขึ้น แทนที่เราจะปล่อยให้อดีตเป็นอดีต เรากลับไปใส่ไฟให้กับอดีตให้มันมีแรงและอํานาจในชีวิตเรามากขึ้น
การจัดการกับอดีตที่ถูกต้องก็คือการยอมรับ ปล่อยวาง และ เข้าใจมัน โดยที่เราไม่ต้องไปขัดขืน กีดกัน ต่อต้าน ต่อสู้ หรือทําอะไรกับมัน ลองนึกภาพกองไฟที่กําลังลุกโชน การที่เรายิ่งไปขัดขืนก็ไม่ต่างอะไรกับการใส่เชื่อเพลิงเข้าไปในกองไฟ มันยิ่งทําให้อดีตมีอํานําจต่อชีวิตเรา แต่หากว่าเราอยู่เฉยๆ ไม่ไปทําอะไรกับมัน ไม่นานกองไฟนี้ก็จะมอดไปเอง ในทางจิตวิทยาเรียกขั้นตอนนี้ว่า "Symptoms Management" หรือการจัดการเป็นอาการของปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจเรา
ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะเคยโดนพ่อทําล้ายมาแต่เด็ก เราเลยฝังใจ และเกรียดพ่ออยู่ลึกๆเสมอ เวลาเราอยู่คนเดียว เราอาจจะคิดขึ้นมาว่าทําไมพ่อทําอย่างนั้น ไม่ทําพ่อเป็นคนไม่ดี แทนที่เราจะไปคิดต่อจากมัน เราก็เรียนรู้ที่จะเห็นมัน ยอมรับมัน
ความจําเป็นในการเผชิญหน้ากับปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจ
ปมที่ฝั่งอยู่ในใจเรานั้นก็เหมือนหนามที่แทงใจเรา มันหายไม่ได้หากเราไม่ดึงมันออกมา
หลายคนที่มีปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจมักเลือกที่จะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครและเก็บมันไว้กับตัวเอง แต่การเก็บความรู้สึกไว้แบบนี้ สุดท้ายแล้วก็ส่งผลออกมาในรูปแบบอื่น ทางด่านความคิด อาจจะมีความคิดแซกหรือคิดวนที่ทําให้เรากลับไปคิดถึงมันได้อยู่เสมอ ในทางด่านร่างกาย อาจจะทําให้นอนไม่หลับ หรือ มีความเจ็บปวดในร่างกายเพราะความเครียดสะสม เป็นต้น แต่สุดท้ายแล้วก็คือ ความรู้สึกเจ็บปวดมันยังอยู่แค่อาการมันออกมาช่องทางอื่นๆ
การที่เราเลือกที่จะเจ็บอารมณ์ไว้มากกว่าที่จะเปิดเผยมันอย่างปกติ มันเป็นสัญญานที่สําคัญว่าความเจ็บปวดในใจเรานั้นยังไม่ได้หายไป มันยังทิ้มแทงเราอยู่ มันยังมีอํานาจต่อชีวิตเราอยู่ เพราะถ้าไม่ เราควรที่จะสามารถคุยเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับคนอื่นได้อย่างสบายๆ ซึ่งงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยว่า การที่เราเปิดเผยปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจแทนที่จะเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเรานั้น กลับสามารถช่วยให้เรายอมรับสิ่งที่ทําให้เราเจ็บปวดได้ไวขึ้นและรู้สึกไม่แย่เท่าเมื่อเทียบกับการที่เราเก็บมันไว้กับตัวเอง (Pennebaker, J. W. 1997) ดังนั้นหลักการในการรักษาปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจหรือ "Trauma" ก็คือการที่เราต้องกล้าพอที่จะยอมรับและเผชิญหน้ากับปมที่ฝั่งอยู่ในใจ เพราะมันคือก้าวแรกที่จําเป็นของขบวนการบําบัดรักษา
โอบรับความเจ็บปวดให้มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา
หลักการในการรักษาปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจตามหนักจิตวิทยาก็คือการฝึกที่จะโอบรับปมที่ทําให้ความเจ็บปวดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ในภาษาอังกฤษเรียกว่า "integration" หรือ "association"หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่ามันก็คือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ปมก็คือสิ่งหรือเหตุการณ์ที่เราไม่อยากให้มีในชีวิตเรา ความรู้สึกแรกของเราก็คือเราอยากที่จะผลักมันออกจากชีวิต หนีจากมัน ทําเหมือนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งความจริงก็คือมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว ต่อให้มันจะเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ น่าเกรียด โหดร้าย หรือ เป็นสิ่งที่แย่หรือเลวร้ายมากขนาดไหน ความจริงก็คือมันได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว
ตราบใดที่เรายังปฎิเสธมันอยู่เราไม่มีวันหาย เพราะมันก็ไม่ต่างกับการที่เรามีหนามมาแทงเราแต่เรากลับเพิกเฉยหรือปฎิเสธมัน วิธีที่จะดึงหนามที่ทิ้มแทงใจเราออกและรักษาแผลใจเราได้ก็คือการที่เราก็ต้องโอบกอดปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เลิกหนีหรือผลักไสมันออกจากชีวิตเรา ต้อนรับความจริงของมันด้วยใจที่เป็นกลาง ยอมรับและความเข้าใจมันอย่างที่มันเป็น เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครสามารลบความจําได้ แต่สิ่งที่เราทําได้ก็คือเรียนรู้ที่จะเป็นมิตรและอยู่กับมันให้สวยงาม
"If you are to heal and pick up again, you will need to embrace your traumatic memories and integrate them with the rest of your life experience."
Schiraldi, G. R. (2000)
ถอนพิษในใจเราให้หมด
อดีตเป็นสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราทําได้ก็คือยอมรับและอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุข เมื่อใดที่ปมนี้ไม่ได้ทําให้เราเจ็บปวด ปมนี้ก็เหมือนไม่ได้เป็นปม ดังนั้นวิธีรักษาปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจ นั้นก็คือการเอาความเจ็บปวดออกมาจากปม
ยกตัวอย่างเช่น แฟนเก่าหรือเพื่อนสนิทเราหักหลังเรา ความเจ็บปวดจากเหตุการเดียวนี้ก็มีพ่วงมามากมาย เช่น ความแข้น ความโกรธ ความอยากเอาคืน ความเกรียด ความหมดหวังในความสัมพันธ์ ความกลัวว่าจะต้องเจออีกในอนาคต ความมั่นใจในตัวเองที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดี และอื่นๆอีกมากมาย นี้คือพิษหรือความเจ็บปวดที่เราจะต้องถอนออกมาให้หมด เพื่อทําให้ปมหมดฤทธิ์
การที่เราจะถอนพิษในใจเราออกมาได้เราก็ต้องแก้ที่ละความรู้สึก เช่น เราอยากแก้แค้นแฟนเก่าหรือเพื่อนสนิท อยากที่จะโกรธและหวังร้ายต่อเขา อันนี้เราก็ต้องเปลี่ยนความอยากนี้ให้เป็นความไม่อยาก เราอาจจะพูดกับตัวเองว่า โกรธไปเราเองก็ทุกข์เองเปล่าๆ โกรธไปแล้ว หรือว่าหากเราอยากไปแก้แค้นหรือเอาคืนเขา เราก็อาจจะพูดว่า ทําไปก็ได้แค่สะใจตัวเอง มันไม่ได้ทําให้ใครดีขึ้น อย่างนี้เป็นต้น แต่หลักการก็คือเราต้องเปลี่ยนจากอยากให้เป็นหมดอยากให้หมด จากอยากที่จะโกรธ เป็นอยากที่จะไม่โกรธ จากอยากล้างแค้นเป็นเลิกล้างแค้น จากอยากที่จะหนีจากเหตุการณ์และบุคคลที่มาทําลายเราเป็นกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน เมื่อเราแก้ได้ทุกๆความรู้สึกที่มันทําให้เราค่างคาใจเมื่อนั้นปมจะไม่เป็นปมอีกต่อไป
แน่นอนใจของคนเราคงไม่ได้ปล่อยวางความเจ็บปวดได้ไวดังนั้นเราต้องค่อยสอนจิตใจเราให้ปล่อยว่าจนมันเห็นประโยชน์ที่จะไม่ไปมีอารมณ์อะไรกับมัน
ปมที่แก้ยากที่สุดก็คือปมที่มีความรู้สึกขัดแย้งกัน เช่น คนที่ทําร้ายเรากลับเป็นคนที่เรารัก ใจหนึ่งก็อยากรักเขา อยากให้ความสัมพันธ์กลับมาดี แต่อีกใจหนึ่งก็เกรียดเขา เกรียดที่เขาทําร้ายเรา เลยอยากผลักใสเขาออกไปจากชีวิตเรา ใจหนึ่งอยากเอาเข้าอีกใจอย่างเอาออก ผลลัพธ์ก็คือจิตใจเราเองที่ไม่สามารถวางความรู้สึกได้ เพราะหากว่าเราจบความสัมพันธ์กับเขาไป เราเองก็ยังอยากกลับไปดีกับเขา หรือ ต่อให้เรากลับไปดีกลับเขาลึกๆเราก็อาจจะเกรียดเขา เพราะเมื่อเรามีความรู้สึกที่ย้อนแย้งมันเลยเกิดเป็นปมขึ้น ความรู้สึกแบบนี้ทําให้เราหาจุดจบในใจเราไม่เจอและไม่สามารถหลุดออกมาจากอดีตได้ นี้ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทําให้เราไม่สามารถลืมและยังกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
ดังนั้นแนวทางในการรักษาก็คือการคลายเงื่อนในใจของเราจนหมดความย้อนแย้ง เช่น เปลี่ยนความโกรธความเกรียด ให้เป็นความเข้าใจและความเห็นใจ เปลี่ยนความอยากได้เขากลับมาให้เป็นความปล่อยวางและไม่ยึดติด การทําเช่นนี้ได้ก็จะทําให้ปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจนี้คลาย จบด้วยดีและมีบทสรุปให้กับใจของเราเอง
เปลี่ยนความเชื่อของตัวเองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่มีใครถูกเสมอ และต่อให้เป็นเหตุการณ์เดียวกันก็มนุษย์แต่ละคนก็มีความรู้สึกแตกต่างกันไป หรือต่อให้เป็นคนๆเดียวกัน บางทีเหตุการณ์เดิมแต่เกิดขึ้นกันคนละเวลาเราเองก็รู้สึกคนละแบบ ความรู้สึกของเราต่อปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจก็ไม่ต่าง มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้
ถ้าเราลองย้อนกลับไปนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราในอดีต แล้วลองหาเหตุผลที่ต่างไปจากที่เราเคยหรือกําลังให้กับมัน มองมุมต่างจากที่เรามองกับมัน เราก็อาจจะรู้สึกต่างไปก็ได้ เราอาจจะย้อนกลับไปคิดว่าโดยไม่เข้าข้างตัวเองว่า...
- แล้วมันจริงอย่างที่เราคิดเลยทั้งหมดหรือเปล่า? หรือว่าบางส่วนเราคิดเอาเอง? และอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด? มีอะไรไหมที่เราเข้าใจผิดแต่กลับมองมันว่าเป็นความจริง?
- เราเข้าใจคนที่มาทําร้ายเราขนาดนั้นเลยหรือเปล่า? หรือว่าเราแค่วาดภาพที่แย่ให้กับเขาในหัวของเราเองเพราะความเกรียดของเรา?
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรามันแย่ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า? แล้วมีคนอื่นที่เราเคยได้ยินที่เคยเจออะไรที่แย่กว่าเราแต่กลับผ่านมันมาได้ไหม?
- มีอะไรไหมที่จริงๆแล้วอาจจะเป็นความผิดของเราเองมากกว่าความผิดของคนอื่น หรือว่าถ้าเราโทษตัวเองมากเกิน มันมีอะไรไหมที่เราโทษตัวเองมากเกินแต่จริงๆแล้วมันก็อาจจะไม่ใช่ความผิดเราทั้งหมด?
ซึ่งเมื่อเรามองย้อนกลับไปดูและให้เหตุผลและมุมมองใหม่ๆกับตัวเองแบบนี้แล้ว ผมเชื่อว่ายังไงเราก็จะต้องเจออะไรที่มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดอยู่ในตอนนี้ นี้ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยปลดล๊อคเราออกจากความคิดที่ไม่ตรงต่อความจริงได้
เปลี่ยนความเจ็บปวดมาเป็นแรงผลักดันในชีวิต
ทุกความเจ็บปวดที่เราไม่สามารถก้าวข้าม คือความเจ็บปวดที่เหยียบเราให้จมลง
ความเจ็บปวด ความผิดหวัง ความโหดร้าย การโดนแกล้ง โดนทําร้าย โดนเอาเปรียบนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลก เป็นความจริงของชีวิตที่บางทีเราก็ไม่สามารถหลีเลี่ยงได้ การที่เราจะอยู่กับความจริงให้ได้อย่างมีความสุขเราเองก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเหลานี้ให้เป็น ซึ่งสิ่งที่เราต้องมีก็คือจิตใจที่แข็งแกร็ง
ปัญหาของเราตอนนี้คือเราจมไปกับความจริงอันนี้ของชีวิต เราไม่ชอบมัน เราไม่อยากยอมรับมัน เรากลัวมัน หนีมัน จนมันดึงให้ชีวิตเราอยู่กับที่ หลายคนที่มีปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจ เช่น เคยโดนคนอื่นทําร้ายหรือหักหลัง แทนที่เราจะดึงตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดเรากลับกลัวความสัมพันธ์ใหม่ บางทีก็ปลีกตัวเองออกจากสังคมไปเลย เพราะว่าเราหมดศรัทธา หมดความเชื่อใจในมนุษย์ ซึ่งถ้าเราติดอยู่กับความเชื่อนี้ เราก็จะไม่โต เป็นแผลในใจเราไปตลอด ซึ่งในความจริงแล้วมนุษย์ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี และไม่ทุกคนที่จะทําร้ายหรือหักหลังเราเสมอไป
ถ้าเรายอมแพ้ต่อความเจ็บปวดมันจะเป็นปม แต่ถ้าเราเรียนรู้จากมันความเจ็บปวดมันเป็นบทเรียน
เลิกใช้ชีวิตในอดีตและมีความสุขกับปัจจุบัน
คนที่มีอาการนี้มักให้ค่ากับอดีตมากกว่าปัจจุบันและอนาคต ต่อให้เรามีความสุขดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเราคิดถึงเรื่องที่มาทําร้ายจิตใจเรา เราก็ปล่อยให้ความคิดพาเราไปจนทําลายความสุขในปัจจุบัน เราใช้เวลาหมกหมุ่นกับอดีตมากกว่าที่จะใช้เวลาสร้างอนาคตให้ดีขึ้น อดีตมันจบไปแล้ว เราแก้อะไรไม่ได้ แต่ปัจจุบันที่เรายังพอมีอํานาจในการเปลี่ยนแปลงและแก้ไข เรากลับไม่ได้ทํามัน
วิธีรักษาและข้อปฏิบัติ
การจัดการอาการ
- ฝึกสติ เพื่อ 1) เฝ้าดูและทําความรู้จักความความคิดแซกและการที่เรากลับไปคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด 2) ฝึกที่จะไม่พลักไสอดีตหรือความเจ็บปวดออกไปจากชีวิตเรา แค่เห็นมันอย่างเป็นกลาง ไม่ต้องไปตอบสนองมัน 3) หากอารมณ์ที่มารุนแรง ให้เราพยายามสงบสติอารมณ์ หายใจลึกๆ ค่อยดึงตัวเองกลับมาอยู่กับความจริงในปัจจุบัน จนกว่าอารมณ์และความคิดแซกจะหายไป การฝึกแบบนี้จะช่วยให้ความคิดและอารมณ์ที่จะเข้ามาแซกมีอํานาจต่อเราน้อยลง และไม่ส่งเสริมให้มันแย่ไปกว่าเดิม
การบําบัดรักษาปมเจ็บปวดที่ติดค้างในใจ
- โอบรับความจริงและผลของสิ่งที่เกิดขึ้น กล้าที่จะพูดมันออกมา อย่าเก็บความรู้สึกของเราไว้กลับตัวเอง หาพื้นที่ที่ปลอดภัยและคนที่สามารถรับฟังเราได้อย่างไม่ตัดสิน การฝึกที่จะเล่าเรื่องของเราออกมาบ่อยๆ วิจัยได้เผยว่าสามารถช่วยความเจ็บปวดที่เราเก็บไว้นั้นน้อยและมีอํานาจต่อจิตใจเราน้อย (van der Kolk, B. A. 2014)
- ทําความรู้จักกับทุกความรู้สึกที่เรามีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น โกรธ แค้น กลัว เสียความมั่นใจ หรือ อะไรก็แล้วแต่ นี้คือสิ่งที่เราต้องมารักษา ถ้าเป็นไปได้ให้เขียนมันลงมา
- เอาทุกอารมณ์ที่เรามีกับเหตุการณ์มาบําบัดเพื่อเปลี่ยนความ โกรธให้เป็นความไม่โกรธ ความกลัวให้เป็นความไม่กลัว ความเสียใจให้เป็นความไม่เสียใจ เช่น เรายังโกรธเขา เราก็ฝึกที่จะเห็นข้อดีในการที่เราควรให้อภัยเขาบ่อยๆ เรากลัวการไว้ใจคนเราก็ฝึกที่กลับมาไว้ใจคนใหม่ที่ละนิดและเพิ่มไปเรื่อยๆ เป็นต้น ฝึกทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
- เอาเหตุการณ์หรือบุคคลที่ทําให้เราเจ็บปวดกลับมาพิจราณาใหม่ ให้เหตุผลและมุมมองใหม่ๆกลับสิ่งที่เกิดขึ้น เลิกเข้าข้างตัวเอง พยายามมองอย่างเป็นกลาง เพื่อโอกาสที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง ข้อควรระวังก็คือเราควรคิดถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดพวกนี้ในปรมาณที่เหมาะสม หากเอากลับมาคิดเยอะเกิดอาจทําให้อาการแย่ลงและการบําบัดล้มเหลวได้
ควรพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เมื่อ...
- ไม่มีทางออก
- อาการไม่ดีขึ้น
- พยายามแล้วแต่ไม่ได้ผล
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถใช้บริการปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือสอบถามรายระเอียดได้ตามลิงก์นี้:
สามารถให้ความคิดเห็นให้ กําลังใจ และช่วยพัฒนาได้ที่:
ขอบคุณทุกความคิดเห็นและจะเอาไปพัฒนากล่องยาประจําใจครับ
สําหรับท่านที่อยากมีกล่องยาสามัญประจําใจไว้ที่บ้านหรือเป็นของฝากให้คนอื่นเมื่อกล่องยาประจําใจตีพิม สามารถติดต่อสั่งจองได้ที่:
แบบฟอร์มสั่งจองกล่องยาสามัญประจําใจ
หรือ
Line: @schooloflife
Line: @schooloflife
ตัวยาอาจจะใช้ได้กับบางคนแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางคน โปรคใช้วิจรณญานและเลือกใช้ได้สิ่งที่เรารู้สึกว่าน่าจะใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้